ฮอร์โมนเพศหญิง

ฮอร์โมนเพศหญิงคืออะไร?

ฮอร์โมนเพศหญิงหลัก ได้แก่ เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ การควบคุมรอบเดือน สุขภาพของผิวพรรณ กระดูก และอารมณ์ นอกจากนี้ ยังมี เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ในระดับต่ำที่ช่วยเสริมสร้างพลังงานและมวลกล้ามเนื้อในเพศหญิง

 

ฮอร์โมนเพศหญิงในแต่ละช่วงวัย

วัยเด็กและวัยรุ่น (0-19 ปี)

  • ฮอร์โมนเพศหญิงเริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอวัยวะสืบพันธุ์

  • ในช่วงวัยรุ่น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการเจริญเติบโตของเต้านม มีรอบเดือนครั้งแรก และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

  • ควรดูแลสุขภาพโดยการรับประทานอาหารที่สมดุลและออกกำลังกายเป็นประจำ

วัยเจริญพันธุ์ (20-39 ปี)

  • ฮอร์โมนเพศหญิงเริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอวัยวะสืบพันธุ์

  • ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตอาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมน ทำให้เกิดภาวะรอบเดือนผิดปกติ หรือภาวะมีบุตรยาก

  • การดูแลสุขภาพโดยการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก โฟเลต และไขมันดี สามารถช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนได้

วัยก่อนหมดประจำเดือน (40-50 ปี)

  • ระดับเอสโตรเจนเริ่มลดลง ส่งผลให้รอบเดือนเปลี่ยนแปลง อารมณ์แปรปรวน และอาจมีอาการร้อนวูบวาบ

  • การลดลงของฮอร์โมนอาจทำให้มวลกระดูกลดลง มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน

  • ควรออกกำลังกายแบบแรงต้าน รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง และปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับฮอร์โมนทดแทนหากมีอาการรุนแรง

วัยหมดประจำเดือน (50 ปีขึ้นไป)

  • ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ผิวแห้ง ความหนาแน่นของกระดูกลดลง และอารมณ์เปลี่ยนแปลง

  • อาจมีภาวะช่องคลอดแห้งและสมรรถภาพทางเพศลดลง

  • ควรให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายแบบแรงต้าน การควบคุมน้ำหนัก และการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน หากจำเป็น

 

ทำไมควรตรวจสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง?

การตรวจสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงช่วยประเมินสุขภาพและป้องกันปัญหาที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น:

  • ประจำเดือนผิดปกติ หรือมีอาการก่อนมีประจำเดือนรุนแรง (PMS)

  • อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า

  • อาการวัยทอง เช่น ร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ และผิวพรรณเปลี่ยนแปลง

  • ปัญหาการมีบุตรยาก หรือภาวะถุงน้ำรังไข่ (PCOS)

 

ต้องตรวจเเลปอะไรบ้าง?

การตรวจฮอร์โมนเพศหญิงสามารถทำได้ผ่านการตรวจเลือด และสามารถประเมินวันการตรวจได้จากรอบเดือน ได้แก่ :

  • Estradiol (E2) – ระดับเอสโตรเจนที่มีผลต่อรอบเดือนและการเจริญพันธุ์

  • Progesterone – ฮอร์โมนที่สำคัญต่อการตั้งครรภ์และการควบคุมรอบเดือน

  • FSH (Follicle-Stimulating Hormone) – ฮอร์โมนที่ควบคุมการตกไข่และใช้ประเมินภาวะหมดประจำเดือน

  • LH (Luteinizing Hormone) – ฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดการตกไข่

  • Prolactin – ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างน้ำนมและอาจส่งผลต่อภาวะมีบุตรยาก

  • DHEA-S – ฮอร์โมนที่มีบทบาทต่อพลังงานและอารมณ์

  • Testosterone (ในเพศหญิง) – ระดับสูงเกินไปอาจเกี่ยวข้องกับภาวะถุงน้ำรังไข่ (PCOS)

 

ใครบ้างที่ควรตรวจสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง?

  • ผู้ที่มีรอบเดือนผิดปกติ หรือมีอาการ PMS รุนแรง

  • ผู้ที่มีภาวะมีบุตรยาก หรือสงสัยว่ามีภาวะ PCOS

  • ผู้ที่มีอารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า หรือวิตกกังวลโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • ผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือนที่มีอาการร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ หรือกระดูกพรุน

  • ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือปัญหาการเผาผลาญ

 

วิธีดูแลสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงในทุกช่วงวัย

  1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักใบเขียว ถั่ว ธัญพืช และไขมันดี

  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะโยคะ พิลาทิส และเวทเทรนนิ่ง

  3. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน

  4. จัดการความเครียด ด้วยการทำสมาธิ ฝึกหายใจ หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย

  5. เลี่ยงสารพิษและฮอร์โมนรบกวน เช่น ยาฆ่าแมลง พลาสติก BPA และอาหารแปรรูป

  6. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อประเมินระดับฮอร์โมนและป้องกันปัญหาสุขภาพ

 

ฮอร์โมนเพศหญิงมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพในทุกช่วงวัย การตรวจสมดุลฮอร์โมนช่วยให้สามารถป้องกันและจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสม หากพบอาการผิดปกติ ควรเข้ารับการตรวจและปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม

บทความโดย พญ.รวิปรียา ภูมิโคกรักษ์แพทย์

เวชศาสตร์ป้องกัน เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ

Previous
Previous

ภาวะต่อมหมวกไตอ่อนล้า

Next
Next

ฮอร์โมนเพศชาย